Category: Books


ぬらりひょんの孫

ぬらりひょんの孫

ตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัย เวลาว่างก็อ่านการ์ตูน อ่าน BOOM แต่พอทำงาน ไม่มีเวลาอ่านการ์ตูนเลย ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรสนุกบ้าง ที่อ่านค้างไว้ก็มี Naruto, Vagabond, Yawara, Bleach, 20th Century Boys, One Piece, Real, ฯลฯ ซึ่งไปกันถึงเล่มอะไรต่อมิอะไรแล้ว

วันก่อนไปร้านหนังสือการ์ตูน Oh! Anime ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ไปดูว่า Bakuman เล่มใหม่ออกหรือยัง ก็เลยลองซื้อเล่ม 1 ของเรื่องนูระหลานจอมภูต (Nurarihyon no Mago) มาลองอ่านดู

สนุกมาก ตลกดีอ่ะ อีกวันเลยต้องกลับมาใหม่ มาซื้อตั้งแต่เล่ม 2-18 เลย คนทำงานก็แบบนี้เนอะ ไม่ได้ซื้อทีละเล่มเวลาออกเหมือนเด็กๆ ซื้อทีก็รวบทีเดียวเลย

Google Adwords Books

Google Adwords Books

Google Adwords Books

ไปหาซื้อหนังสือเกี่ยวกับ SEO, Adwords, Adsense มาเต็มเลย ซื้อจาก SE-ED, Kinokuniya และ Asia Books ดังนั้นพอว่างจากทำงานปั๊ปจะมาหาเวลาอ่านตลอด (ไม่งั้นอ่านไม่จบแน่ๆ)

สมัยก่อนในบล็อกนี้ก็จะติด Adsense ด้วย ติดตั้งแต่สมัยที่ Adsense ยังไม่สนับสนุนภาษาไทย เลยเขียนบล็อกเป็นภาษาอังกฤษ (ไม่ได้ติดมาพักนึงแล้ว)

อยากอ่านเยอะๆ อยากจะรู้ตั้งแต่พื้นฐาน เพื่อที่จะได้เก่งๆ 🙂

The Design Entrepreneur: Turning Graphic Design Into Goods That Sell

The Design Entrepreneur

ตอนแวะไปหาทิน่าที่เพลินจิต เอาขนม Eat Me First ไปให้ พอเราจะไปทำงาน ทิน่าบอกว่าให้รอแนนแป๊ป มีเรื่องจะคุยด้วย เราก็ว่าแปลกแฮะ ปกติทิน่าไม่ค่อยชอบบอกให้รอ  เราก็นั่งรอ แต่ว่าต้องรีบไปถึงที่ทำงาน ก็เลยต้องบอกทิน่าว่าไปก่อนนะ

ตอนเย็นหลังเลิกงาน ไปบ้านทิน่ากับน้องก้อย ไปนั่งกินพิซซ่า แล้วก็คุยกัน ทิน่าก็เอาของขวัญจากแนนมาให้ ที่บอกให้รอเพราะว่าแนนไปซื้อที่ Paragon และกำลังจะกลับมาเพลินจิต พอดีเรารีบไปก่อน ก็เลยฝากเอามาให้ตอนนี้

The Design Entrepreneur

พอแกะห่อของขวัญออก เราแบบดีใจมากอ่ะ ชอบจังเลย อยากจะนั่งอ่านเล่มนี้ทั้งวันทั้งคืน ขอบคุณแนนมากๆ นะจ๊ะ 🙂

Book Expo Thailand 2010

Book Expo Thailand 2010

วันนี้ตอนกลับจากทำงาน ก็ไปแวะงาน Book Expo Thailand 2010 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ งานมีตั้งแต่ 21-31 ตุลาคม 2553 เราตั้งใจจะไปซื้อนิตยสาร Computer Arts Thailand โดยเฉพาะ เพราะเราลืมซื้อเล่มที่ 14 ก็เลยไปที่บูทเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องสั่งซื้อย้อนหลังทางไปรษณีย์

แต่พอเดินๆ ไปตามบูทต่างๆ ก็อดไม่ได้เลย ที่จะซื้อหนังสืออื่นๆ มาด้วย มีแต่หนังสือลดทั้งนั้นเลย 20-80% เยอะแยะมากมาย นี่ถ้าเงินเดือนออกแล้ว คงจะกวาดมาทุกเล่มที่อยากได้

ซื้อหนังสือนิทานมาให้ลูกสาวโตโร่ด้วย เดี๋ยวนี้หนังสือนิทานน่าร๊าก น่ารัก วาดสวย โดยเฉพาะของสำนักพิมพ์ห้องเรียน และก็ที่ชอบมากก็ร้าน Book Town ที่ขายหนังสือต่างประเทศ หนังสือเกี่ยวกับ Design เต็มเลย ปกติร้านจะอยู่ที่ JJ Mall ห้อง G58 ประตู G1 โทรติดต่อได้ที่เบอร์ 02-265-9364

เดินๆ ไปก็หนักจนปวดแขน เพราะว่าต้องแบก Laptop ด้วย ก็เลยต้องรีบกลับบ้าน ไม่งั้นคงได้เดินนานกว่านี้

RE: เมล์จากเด็กติ๋มหลบใน

เคยเขียนถึง “ใบพัด” หรือ ภาณุมาศ ทองธนากุล นักเขียนที่เราชื่นชอบไปแล้วครั้งนึง (อ่านได้ที่นี่)  เมื่อปีที่แล้วเราเขียนไปหาใบพัดอีกครั้ง หลังจากอ่านเรื่อง “หัดเยอรมัน” จบ แล้วใบพัดก็ตอบกลับมาหาด้วย ดีใจ 🙂

From: Baipad Phanumas <baipad2001@hotmail.com>
Wed, 12/09/09

สวัสดีส้ม
(แอบดูชื่อจากในบล็อก ^ ^)
ขอบคุณอีกครั้งที่ส่งเมล์มาคุยกัน
ยังจำครั้งก่อนที่เขียนคุยกันได้ คนแบบเราๆ ได้เจอกันไม่บ่อยนัก
เมื่อได้เจอกันแล้วย่อมถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของชีวิต

เขียนเรื่องความติ๋มมาสามเล่ม
ก็เห็นด้วยกับส้ม ทุกวันนี้ก็ไม่ได้หายติ๋มแต่อย่างใด
(และก็ไม่รู้จะหายได้ไหม)
แต่ไม่อายกับความติ๋มแล้วล่ะ

ชอบบล๊อกส้ม

^ ^

A book fair

ไปงาน A Book Fair กับน้องก้อยมาที่ Esplanade ได้หนังสือใหม่มา 3 เล่ม เราไปเพื่อไปซื้อ “การลาออกครั้งสุดท้าย” ของใบพัดเลยนะเนี่ย แต่วันที่ไป ใบพัดไม่ได้มา แต่มาพรุ่งนี้ (แป่ว) อีก 2 เล่มที่ได้มา ซื้อเพราะราคาบอกว่า ลดเหลือเล่มละ 10 บาท โอ้ววว หยิบแทบไม่ทัน

เวลาจะอ่านหนังสือก็ไม่มี เพราะขนาดนิตยสารที่ซื้อๆ มา ก็ยังไม่มีเวลาอ่านเลย แต่ก็ซื้อมาเก็บไว้ก่อนเนอะ

วันก่อนหลังจากเลิกเรียนเสร็จ ก็ไปเซ็นทรัลเวิร์ลกับน้องก้อย ไปกิน Sizzler จริงๆ อยากกินสเต๊กโชคชัยมาก แต่ว่าอยู่ไกล ก็เลยกิน Sizzler ไปก่อนก็ได้ เรากินชุดไก่ย่างสไปซี่ กับหมูพริกไทยดำ อร่อยๆ อยากกิน Okonomiyaki ตรง Isetan ด้วย แต่กินไม่ไหวแล้ว อิ่มมากมาย อยากกิน Strawberry Short Cake ด้วย โอยยย ทำไมเราอ้วนอย่างนี้

จากนั้นก็เดินไปซื้อการ์ตูน และก็เดินไปสยามฯ ไปซื้อเสื้อยืดมา 2 ตัว และก็ข้ามไปพารากอน ไปกินไอติม i-berry กินรส wave-88 (ชื่อนี้ป่าว จำไม่ค่อยได้) ที่เป็นสีขาวๆ ฟ้าๆ แล้วก็ไปดูหนังสือที่ Kinokuniya

ซื้อหนังสือ “ปอกกล้วยในมหาสมุทร” ของนิ้วกลมมา ลดอยู่ 10% เหลือ 153 บาท ยังไม่มีเวลาอ่านเลย เพราะช่วงนี้อ่านหนังสือทำเว็บด้วย XHTML กับ CSS อยู่

แต่เปิดๆ ดูแล้ว น่าอ่าน รูปเล่มก็น่ารัก กระทัดรัด อยากมีหนังสือของตัวเองแบบนี้บ้างจัง

โตเกียวไม่มีขา

โตเกียวไม่มีขา

อ่านโตเกียวไม่มีขา ของนิ้วกลม แล้วชอบจัง อยากไปญี่ปุ่นอีก ตั้งแต่โดน lay off แล้วอ่านหนังสือมา เริ่มที่ ฟินแลนด์ไม่มีแขน, เสียดาย…คนอินเดียไม่ได้อ่าน, เนปาลประมาณสะดือ จนมาถึง โตเกียวไม่มีขา ทำให้เราชอบใบพัด และก็นิ้วกลม มากๆ ชอบความคิดที่สื่อออกมา ให้คนได้รับรู้

อ่านโตเกียวไม่มีขา แล้วก็อิจฉา ที่เค้าได้สัมผัสโตเกียวในแบบที่เราไม่เคย นิ้วกลมนอนข้างถนน นอนหน้าตึก บางทีการที่เราเป็นผู้หญิง มันก็ทำให้เรามีข้อจำกัด ในเรื่องของความปลอดภัย อยากจะไปไหนทำอะไร ต้องระมัดระวังอันตราย แต่ผู้ชายไม่ต้องคิดมาก

ตอนเป็นแอร์ฯ เราอยู่ญี่ปุ่นมากกว่าอยู่กรุงเทพฯ เสียอีก แต่เราไม่เคยสนุก อิ่มเอม บันเทิง มีความสุขเวลาอยู่ญี่ปุ่นเลย ทั้งๆ ที่เราชอบญี่ปุ่นมากๆ ไม่ว่าจะการ์ตูน ของจุ๊กจิ๊ก การดีไซน์แพ็คเกจต่างๆ นิ้วกลมได้เขียนไว้ในหนังสือ เนปาลประมาณสะดือ (หน้า 335) ว่า …

“จะมีประโยชน์อะไร หากเราได้ขึ้นไปถึงจุดหมาย แต่ไม่มีใครให้โอบกอด”

ถ้าญี่ปุ่นเป็นจุดหมาย มันก็คงไม่มีประโยชน์จริงๆ ถ้าเราไม่ได้ไปกับคนที่เรารัก ญี่ปุ่นก็กลายเป็นที่สำหรับคนเหงาๆ เดินเล่นไปวันๆ ได้

เราอยากไปญี่ปุ่นอีกครั้ง และเราก็อยากไปกับคนที่เรารัก และเค้าก็รักเรา

All Alone on Monday

ไปส่งน้องก้อยที่ตึกเรียน น้องก้อยเปิดเทอมวันแรกแล้ว ไปรอน้องก้อยที่หอสมุด อ่านหนังสือ เนปาลประมาณสะดือ จนจบไปเลย สนุกดี อ่านแล้วไม่ได้อยากไปเที่ยวเนปาล แต่ได้แรงบันดาลใจในการทำอะไรที่เป็นความฝันให้สำเร็จ

ชอบที่นิ้วกลมเขียนว่า “สูง – ย่อมมีสูงกว่าเสมอ และจะสูงกว่ากว่ากว่ากว่ากว่าต่อไปไม่รู้จบ ผู้ที่ต้องการอยู่สูงสุดนอกจากจะเหนื่อยแล้ว ยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดอีกด้วย”

ตอนเที่ยงไปกินข้าวกับน้องก้อย และเพื่อนน้องก้อยอีกโขยง อัดแน่นมาในรถเล็กๆ ของเรา เรากินคะน้าหมูกรอบไข่เจียว แต่มันไม่อร่อย เหมือนข้าวผัดเบคอนของน้องก้อยเลยอ่ะ

จากนั้นเราก็ขับรถไปสัมภาษณ์งานแถวๆ เมืองทองธานี ขับเลยตึกไป เลยเอารถไปจอดที่ The Avenue แล้วนั่ง Taxi มาแทน เพราะเดี๋ยวจะช้ากว่าเวลานัด ถ้าต้องมารอกลับรถ

เราไปยืนรอพี่เค้าลงมารับ ก็มองๆ ว่ารอที่หน้าร้านไหนดี เหลือบไปเห็นร้าน Delifrance ก็เลยไปยืนตรงนั้น คือ ตอนนั่ง Taxi มา เราก็มองที่ใส่เอกสารเรา มันเป็นคำว่า Un Deux Troi (คือ 1 2 3 ในภาษาฝรั่งเศส) เราก็ครุ่นคิดว่า เราเรียนภาษาฝรั่งเศสตอน ม. ปลาย เราก็ยังจำคำบางคำได้ดี ไม่ลืม เป็นเรื่องที่ดีนะเนี่ย แล้วพอเดินมารอที่ร้าน Delifrance ก็คิดว่า ภาษาฝรั่งเศส นี่ก็อยู่ในชีวิตประจำวันจริงๆ อ่านป้ายชื่อร้านแล้วก็คิดว่า คนที่ไม่รู้ภาษาฝรั่งเศสคงอาจจะเคยอ่าน ร้านนี้ว่า เดลี่ฟรานซ์ แทนที่จะอ่าน เดลี่ฟรองซ์ บ้างหรือเปล่านะ ช่างไม่เท่เอาเสียเลย

และแล้วพอตอนโทรไปหาพี่เค้าว่ามาถึงแล้ว เราก็พูดว่า “ตอนนี้ส้มรออยู่หน้าร้าน เดลี่ฟรานซ์ นะคะ” … แป่ว …

การสัมภาษณ์ก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี พี่ทั้งสองน่ารักมาก จากนั้นเราก็เดินไปกรอกใบสมัครที่แผนก HR อีกตึกหนึ่ง แล้วก็นั่งรถ Taxi กลับมา The Avenue ไม่รู้จะทำอะไรดี ต้องรอน้องก้อยสอนท่าเต้นให้น้องๆ จน 21.00 น.

เลยไปดูหนังเรื่อง Max Payne ซึ่งมันเป็นเกมส์มาก่อนที่จะเอามาทำเป็นหนัง จริงๆ ไม่ได้อยากดู แต่มันไม่มีหนังเรื่องไหน จะเหมาะกับเวลา แถมบัตรก็ถูก 100 บาทเอง

เป็นการดูหนังคนเดียวครั้งแรก และในโรงหนังก็มีคนแค่ 4 คนเท่านั้น นั่งแถว D กันหมด ยกเว้นฝรั่งคนหนึ่ง นั่งอยู่ข้างหน้า พอต้องยืนตรงระหว่างเพลงสรรเสริญพระบารมี ฝรั่งมันก็นั่งเฉย ไม่ยืน สายตาคน 3 คน ก็มองไปที่มัน มันก็นั่งกระดิกเท้า และกินโค้กบ่อยมาก ไม่ธรรมชาติ ดูแปลกๆ คงรู้ว่าตัวเองทำอะไรที่มัน… ไม่น่ารัก

จริงๆ ถ้าเราไม่รู้วัฒนธรรม ความเป็นมา ของชาตินั้นอย่างแท้จริง เราจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าสิ่งที่เราคิดนั้นถูก และทำตามความคิดของเรา โดยไม่สนใจคนส่วนใหญ่ เราเป็นคนต่างถิ่น ก็ควรให้ความเคารพสิ่งที่คนในชาตินั้นเค้าเคารพกัน มันไม่ดีกว่าเหรอ มันดีกว่ามาทำตัวแบบนี้ เหมือนไม่ให้เกียรติประเทศที่มาอาศัยกันเลย

หนังเรื่องนี้ก็ไม่สนุกอีกต่างหาก เซ็งเป็ด ดูหนังเสร็จตอน 18.40 น. ก็ค่อยๆ ขับรถไปธรรมศาสตร์ ไม่ลืมซื้อโกโก้จากร้านดอยตุง ตรงปั๊ม JET (ปัจจุบันกลายเป็น ปตท) ไปฝากน้องก้อย

เดินไปในร้านบอกว่า “ช็อคโกแลตเย็นแก้วนึงค่ะ” คนขายมองหน้าเราเหมือนเราไปสั่งพิซซ่าถาดนึง เธอบอกเราว่า “ช็อคโกแลตไม่มี มีแต่โกโก้”

… อ่อ ค่ะๆ … กลัวแล้น

ได้อารมณ์เหมือนไปร้านก๋วยเตี๋ยว แล้วสั่ง “โค้ก 2 ขวด”

คนขายจะบอก “ไม่มี! มีแต่เป๊ปซี่”

คนญี่ปุ่น (อาจจะประเทศอื่นด้วย เช่น เยอรมัน) จะเรียกเครื่องดื่มจำพวก โค้ก และเป๊ปซี่ ว่า “โคล่า Cola” เพราะว่ามันเป็นน้ำรส โคล่า จะต่างก็แค่ว่ายี่ห้อไหน Coca-Cola หรือ ว่า Pepsi หรือ ฯลฯ

ชื่อเดิมของ Pepsi ตะก่อนเค้าก็เรียก Pepsi-Cola (อันนี้พ่อบอก)

เหมือนกิน จอลลี่แบร์ โคล่า ก็คือรสโคล่า

เคยได้ยินฝรั่งตอบคำถามพนักงานที่ถามว่าจะสั่งเครื่องดื่มอะไรว่า “Cola, please”
พนักงานตอบว่า “No Cola, Coke ได้เปล่า” ด้วยภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่น ทว่าสื่อสารเข้าใจ แต่ฝรั่งคงแปลกใจ เข้าเมืองตาหลิ่ว ก็ต้องหลิ่วตาตามน๊า เพราะวัฒนธรรมการดำรงชีวิต แต่ละประเทศไม่เหมือนกัน

เฮ้อ อยู่คนเดียวเหงาจัง!

Powered by WordPress | Theme: Motion by 85ideas.