Archive for February, 2010


เมื่อวันก่อนโน้น ดูวู้ดดี้เกิดมาคุย แล้วมี นก ยลดา มาออก เราไม่เคยรู้จัก นก ยลดา มาก่อนเลย ไม่ทราบว่าเค้าเป็นใคร เราก็นั่งดูรายการด้วยความสนใจว่า เค้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร

แต่ดูเหมือนว่า พิธีกรจะเชิญคุณนก มาออกรายการด้วยความอยากให้คุณนกโดนต้มยำทำแกงซะเละมากกว่า เพราะตัวพิธีกรก็ดูจะดูแคลนความคิด และสิ่งที่คุณนกเชื่ออยู่ไม่น้อย ดูจากสีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง แถมแขกรับเชิญที่เชิญมา ก็ยังให้ความเห็นในทางตรงข้ามกับคุณนก ทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น คุณมัม และคุณจิ๋ม มันก็ไม่แฟร์กับคุณนก

เรากำลังอยากฟังว่าผู้หญิงข้ามเพศคืออะไร แล้วที่ WHO อธิบายไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่คุณนกกล่าวถึง เค้าพูดว่าอะไร แต่ตลอดรายการ มันเหมือนเสี้ยมให้เกิดการโต้เถียง เลยไม่ทราบเนื้อหาอะไรใดๆ ทั้งนั้น  ดูแล้วนึกถึงคุณไตรภพ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นพิธีกรชอบอวย ชอบชมจนเว่อร์ เราก็ไม่ชอบการชมจนเว่อร์ของคุณไตรภพ แต่ถ้าคิดให้ดี คนทุกคนย่อมเหมือนเหรียญที่มีสองด้าน ด้านดี และด้านไม่ดี ถ้าคุณจะเชิญใครมาซักคน โดยที่คุณก็เย้ยหยันเค้า แล้วเราจะนำเสนอสิ่งที่เค้าต้องการบอกได้ไง เนื้อหามันไม่มี หรือเดี๋ยวนี้รายการที่จะฮิต คือรายการที่ต้องแรงๆ เกิดเหตุการณ์แรงๆ ถึงจะดัง แถมรายการก็มีการตัดต่อคำพูดของคุณนก ออกไปตั้งเยอะ

ถ้าให้สัมภาษณ์คุณนก ดีๆ แล้วปล่อยให้คนดูได้คิดเองว่า ความคิดของคุณนกถูก หรือไม่ถูก ไม่ดีกว่าเหรอ

เท่าที่ฟังจากในรายการ เราไม่เห็นด้วยกับคุณนกในหลายอย่าง และเราว่าถึงจะให้เปลี่ยนคำนำหน้าชื่อได้ หรือแต่งงานได้ มันก็ไม่ได้ช่วยทำให้ คนที่ไม่ยอมรับ ไม่ชอบ รังเกียจเพศที่ 3 เปลี่ยนความคิดได้หรอก เราไม่เห็นประโยชน์ เราควรเรียนรู้ที่จะเคารพตัวเองมากกว่า เป็นกระเทย เป็นทอม ก็เป็นให้มีคุณภาพ ยอมรับในสิ่งที่เป็น และก็ใช้ชีวิตให้มีประโยชน์

ใจความสำคัญในการดำรงชีวิต มันไม่ได้อยู่ที่ตรง ทำให้คนคิดว่า เราคือผู้หญิงนะ เราคือผู้ชายนะ โดยส่วนตัวเราคิดว่า เราเปลี่ยนความคิดใครไม่ได้หรอก หรือบังคับใครให้มาเข้าใจในตัวเรา แต่เราเลือกทำชีวิตเราได้ เราต้องเป็นคนเก่ง เป็นคนดี เป็นอะไรที่สร้างสรรค์เพื่อสังคมได้ โดยไม่ต้องมานั่งคิดว่า เราต้องเป็นอะไร ต้องมีป้ายบอกว่า เราเกย์นะ เราทอมนะ เราดี้นะ เรากระเทย

กระเทยบ้าๆ ก็มีเยอะ  ทอมบ๊องๆ ก็มีเยอะ ก็เหมือนผู้ชาย ผู้หญิง ที่ก็มีดี มีเลว แต่แค่ว่าพอเป็นเพศที่ 3 มันจะมีป้ายต่อมาให้ เช่น ถ้ามีลงหน้า 1 มันจะเป็น “เกย์เฒ่าถูกฆ่าตาย” “ทอมหึงหวงฆ่าดี้” เหมือนเป็นยศ เป็นป้ายที่ต้องมี จะไม่ใช่ “ชายแก่ถูกฆ่าตาย” “ผู้หญิงฆ่าคู่รัก” มันเป็นอะไรที่ต้องระบุลงไป เพื่อบรรยายคนๆ นั้้น ทำให้คนอ่านข่าวรู้สึกว่า พวกกระเทย ทอมดี้ นี่มันโรคจิตนะ ฆ่ากันตายอีกละ น่ากลัว ทั้งๆ ที่ผู้ชาย ผู้หญิงฆ่ากันตายออกจะเป็นเปอร์เซ็นต์ที่เยอะกว่ามาก

ถ้าเราต้องใส่ใจกับทุกอย่าง มันก็น่าปวดหัวนะ อย่างถ้าเราเจอผู้ชายที่แค่เห็นทอม ต่อมความเกลียดก็พุ่งกระจายแล้ว เราก็คงอยู่อย่างไม่มีความสุขใช่ไหม กับคำพูดที่ว่า

“ผู้หญิงก็ต้องคู่กับผู้ชาย”
“แรกๆ ผู้หญิงก็ต้องคบทอม พอสุดท้ายก็แต่งงานกับผู้ชาย”
“นิ้วหรือจะสู้…อุ่นๆ ได้”
“โดนทีเดียว ก็หายทอมแล้ว”
“รับซ่อมทอม”
“ลองกระเทยมายุ่งกับกูนะ กูจะถีบให้คว่ำ” (แต่ได้เคยถามเค้าไหม ว่าเค้าอยากจะยุ่งกับแกหรือเปล่า)
“ไม่อยากมีลูกดูแลตอนแก่เหรอ”

คนพูดก็สะใจ ที่ได้พูด ได้แสดงความเป็นชายออกมาละ สบายใจไปทั้งวัน

บางทีเราเห็นทอมบางคน มันก็น่าหมั่นไส้จริงๆ น่ะแหละ นั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน ทั้งกอดทั้งหอมดี้ หรือตะโกนวะ เว้ย เฮ้ย ดังลั่น แสดงความเป็นทอมห้าว เห็นแล้วก็คิดว่า เพราะพวกแกนี่ล่ะ คนเค้าถึงเกลียดทอม

นอกจากนั้น ยังมีปัญหาพ่อแม่ไม่ยอมรับลูกที่เป็นเพศที่ 3 เป็นปัญหาที่จะไม่มีวันหายไป เพราะพ่อแม่ที่แต่งงานกัน มีลูกได้ เค้าก็ต้องเป็นชายจริง หญิงแท้ ซึ่งแน่นอน ย่อมไม่เข้าใจการเป็นเพศที่ 3 ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ชอบเพศตรงข้าม

นอกจากเด็กบางคน จะโชคดี เจอพ่อแม่ที่รักลูกในสิ่งที่ลูกเป็น มากกว่าสิ่งที่อยากให้เป็น หรือไม่พ่อแม่บางคน ก็เป็นซะเอง แต่ยังไม่รู้ตัวเอง จนมารู้ตัวตอนแก่ ว่าชอบเพศเดียวกัน ทำให้เกิดปัญหาครอบครัวตามมาอีก

ทั้งหมดทั้งมวล เป็นเกย์ เป็นทอม เป็นดี้ เป็นกระเทย แล้วชีวิตมีแต่ปัญหาจะตาย มีแต่อะไรก็ไม่รู้ ถ้าใช้สมองคิด คงเลือกที่จะไม่เป็นมากกว่า จะได้สบาย แต่เรื่องแบบนี้ ใช้สมองบวกลบข้อดี ข้อเสียไม่ได้ แต่ต้องมาจากใจ ซื่อสัตย์กับใจตัวเอง เราจะได้ไม่ไปทำปัญหาให้ใคร

เหมือนที่พ่อเคยพูดกับเราว่า “จะเป็นอะไรก็ได้ แต่ขอให้เป็นคนดีก็พอ

ขนม Eat Me First

หิวเมื่อไหร่ก็เปิดตู้เย็น เจอขนมของ Eat Me First เต็มตู้ ขนมที่เราชอบมากที่สุด คือ Lime Pie (พายมะนาว) รองลงมาก็ Banana Choc Mousse อร๊อยอร่อย

เมื่อวานที่ตึกอื้อจือเหลียง มีซ้อมหนีไฟตอน 16.00 น. บางคนก็ชิงลงลิฟท์มาก่อนที่สัญญาณจะดัง ส่วนเราก็นั่งทำงานติดพัน กลัวลืมว่าทำไปถึงไหน คิดว่าไว้ค่อยลงก็ได้ มันคงไม่ได้หนักหนาอะไร

พอสัญญาณดังลั่นกระหึ่มออฟฟิศ เราก็เดินลง … โห จากชั้น 30 ลงมาชั้น 1 พอถึงชั้น 20 ก็ไม่ไหวแล้วอ๊ะ แบบเมื่อยมากๆ จะตาย กว่าจะลงมาถึงชั้น 1 เหมือนจะเป็นลม เค้าซ้อมหนีไฟกันประมาณ 40 นาที เราเลยเดินไป Silom Complex ไปนั่งเล่นเนต เล่น Facebook แล้วก็เดินกลับมาทำงาน

ผลของการเดินลงมา ทำให้วันนี้ปวดขามาก ตึงไปหมด เดินแล้วเจ็บขามาก เวลาเดินต้องเดินช้าๆ ตอนขากลับบน MRT ดีนะ ที่มีผู้หญิงคนหนึ่งช่วยเอา Laptop ไปถือให้ ทำให้ไม่หนัก ขอบคุณนะคะ

ไม่ว่าจะเป็นรถเมล์ รถไฟฟ้า หรือรถใต้ดิน สิ่งที่เห็นได้คือ ผู้คนไม่ค่อยชอบ “ชิดใน” ชอบยืนออ กันบริเวณประตู ถ้าเป็นรถเมล์คงมีกระเป๋ารถเมล์ คอยตะโกนให้ “ชิดในหน่อยเพ่” แต่พอเป็นรถไฟฟ้า กับรถใต้ดิน ต้องอาศัยประกาศอย่างสุภาพให้เดินเข้าไปด้านในขบวนรถ เพื่อให้ผู้โดยสารท่านอื่นเข้ามาได้ ซึ่งประกาศไปก็เ่ท่านั้น คนก็ยังยืนอยู่ที่เดิม เราสงสารผู้โดยสารสถานีถัดจากสีลมมาก เพราะแค่คนจากสีลมขึ้นมา มันก็เยอะมากแล้ว

เวลาชิดในของรถไฟฟ้า เราว่าดีออก เพราะเปอร์เซนต์การได้นั่งก็มี (ถ้ามีคนลุก) ถ้ายืนตรงประตู จะได้นั่งก็ต่อเมื่อรถโล่งมากแล้ว

ทำไมคนถึงไม่ยอมชิดใน ถ้าจากที่เราสังเกตคงเพราะมันเดินออกง่ายดี ไม่ต้องเบียดจากด้านใน ออกสู่ประตูได้เลย กับอีกเหตุผลก็น่าจะเป็น การโดน “จ้อง” จากคนที่นั่งอยู่ เพราะคนนั่ง ก็ไม่รู้จะเอาสายตาไปวางไว้ที่ไหน ถ้ามีคนมายืนตรงหน้า ก็ต้องจ้องมองในระดับสายตา ใส่กางเกงอะไร กระเป๋าอะไร รองเท้าอะไร

เราชอบเดินไปชิดด้านใน เพราะตรงประตูมันเบียดมาก แต่มีอยู่วันหนึ่ง ไม่มีใครอยู่ด้านในเลย มีเราคนเดียวโด่เด่ เกร็งมากเลย คิดในใจว่า กระดึ๊บๆ ไปที่ประตูดีไหมเนี่ย อิอิ

Percy Jackson & the Olympians: The Lightning Thief

เมื่อวานหลังจากเลิกงาน เราก็ตัดสินใจเดินจากตึกอื้อจือเหลียง มา Central World เพราะว่าเสื้อแดงเต็มรถไฟฟ้าไปหมด ไม่อยากไปเบียดด้วย ก็เลยคิดว่าเดินมาก็ได้ คงไม่ไกล (จากการขับรถผ่าน ทำให้คิดว่าเดินไม่ไกล) แต่คิดผิดมากกก มันไกลอะไรแบบนี้ แถมหนัก laptop อีก

เหนื่อย และก็หิวสุดๆ ไปเอาตั๋วหนัง Percy Jackson & the Olympians: The Lightning Thief ที่น้องก้อยจองทางโทรศัพท์ไว้ รอบ 21.20 น. บอกเบอร์จองก็ผิด (จดมาผิด) บอกเบอร์โทรน้องก้อยก็ผิดอีก (จำผิด ไปปนกับเบอร์ตัวเอง) จนสุดท้ายเค้าถามชื่อคนจอง ถึงจะได้ อิอิ และก็ไปรอน้องก้อย, ทิน่า และอ้อ ที่ Meat Counter ใน Food Hall เริ่มกินกันตอน 19.45 น.

เรากิน Pork Chop ไปสองจานเลย ทดแทนพลังงานในการเดิน จากนั้นก็เข้าไปดูหนัง ซึ่งเราคิดว่ามันไม่ดีเลย ผิดหวังมากๆ ตอนดู Trailer เราว่ามันต้องน่าสนุกมากแน่ๆ แต่ไหงกลับกลายเป็นไม่ดี อ้อก็บอกก่อนดูแล้วว่า นักเรียนที่เรียนกับอ้อ ก็บอกว่าไม่สนุก

กว่าหนังจะเลิก รถไฟฟ้าคงปิดแล้ว 23.45 น. เลยนั่งแท๊กซี่มาเอารถที่สถานีลาดพร้าว แล้วก็ขับกลับบ้าน รู้งี้ไม่ดูหนังก็ดี

Pope Joan

วันก่อนโน้นนนน ไปดู Pope Joan กับน้องก้อยที่ Central World หนังเรื่องนี้สร้างจากหนังสือชื่อเรื่องเดียวกัน เขียนโดย Donna Cross เป็นเรื่องของผู้หญิงเชื้อสายอังกฤษ แต่เกิดและเติบโตที่เยอรมัน ต้องปลอมตัวเป็นผู้ชาย เพื่อที่จะได้เรียนหนังสือ ต่อมาเธอเป็น Pope ผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่ว่า เธอนั้นมีจริง หรือเปล่า ในหลายประเทศก็ต่อต้านหนังเรื่องนี้

เราดูหนังเรื่องนี้ แล้วรู้สึกว่าโชคดีจัง ที่ไม่ได้เกิดในสมัยนั้น ที่ผู้หญิงไม่มีสิทธิ์ใดๆ แม้กระทั่งการเรียนหนังสือ

นางเอกของเรื่องต้องใช้ความพยายาม และความอดทนมากกว่าคนอื่น เป็นร้อยเท่าเลย ทำให้นำมาคิดว่า แล้วเราล่ะ ได้ทำอะไรอย่างสุดความสมารถ ทำด้วยหัวใจ และตั้งใจแล้วหรือยัง

โปรดเอื้อเฟื้อที่นั่ง

ในทุกเช้าที่ตื่นไปทำงานจะง่วงมาก ตาจะปิด แถมแบก laptop กับกระเป๋าสะพายก็หนักจะแย่ เมื่อวันก่อนเดินเข้าไปในโบกี้รถไฟใต้ดินปั๊ป ก็มีผู้ชายลุกขึ้นยืน สะกิดให้เราไปนั่งที่ของเค้า

เราก็งงๆ ง่วงๆ นั่งลงไป ในใจก็คิดว่า เค้าคงจะออกสถานีต่อไป เห็นเราหอบของเยอะ ก็ลุกให้นั่งแน่ๆ นึกๆ ไปก็หลับตาง่วง ลืมตามาอีกที เอ๊ะ ผู้ชายคนนี้ก็ยังยืนอยู่ เราเลยนั่งคิดว่าเราเป็นกรณี “โปรดเอื้อเฟื้อที่นั่งแก่ ….” เด็กก็ไม่ใช่ หญิงมีครรภ์ก็ไม่ใช่ พระสงฆ์ก็ไม่ใช่ เหลือแต่ คนชรา กับสตรี … คิดไปคิดมา ก็จะหลับ ซักพักเค้าก็เอามือมาโบกๆ อยู่ข้างหน้าเรา เราเงยหน้าไปมอง เค้าถามว่าจำเค้าได้ไหม แจ๊คไง เราก็นึกอยู่ 5 วินาที .. อ๋อ แจ๊ค เพื่อนที่มหาลัยนั่นเอง อ่ะโธ่ เค้าบอกว่าเห็นเราใส่หูฟัง เลยไม่ได้ทัก แล้วเราก็จำเค้าไม่ได้ซะด้วย แหะๆ

ตอนกลับบ้าน หอบ laptop 2 เครื่องกลับบ้าน! เพราะ laptop ของน้องก้อยซ่อมเสร็จพอดี (ศูนย์ซ่อม HP อยู่ที่ตึกอื้อจื่อเหลียง) ก็ต้องแบกกลับมา หนักมาก แขนเกร็งเลย ปวดตุบๆ

แล้วรถไฟฟ้าใต้ดินก็เต็มแน่นสุุดๆ พอมีใครลุกจากที่นั่ง เราก็ไม่สามารถเบียดไปแย่งที่นั่งได้ ก็เลยยืนอยู่เฉยๆ จนมีคนนึงลุก ที่นั่งอยู่เยื้องๆ เราพอดี ซึ่งเราก็คิดว่าหมดสิทธิ์แน่ๆ แต่แล้วก็มีเสียงสวรรค์จากอาม่าคนหนึ่ง พูดว่า “หนูอ่ะ หนู มานั่งนี่ ถือของหนัก” พร้อมกวักมือเรียกเรามานั่ง ทุกคนก็เลยหันมามอง อิอิ เราก็ค่อยๆ เดินมานั่งอย่างสบาย แล้วก็หันไปขอบคุณอาม่า

นี่ถ้าไม่ได้อาม่าจัดแจงให้มานั่ง คงต้องแบกของหนักจนถึงสถานีลาดพร้าวเป็นแน่ ขอบคุณนะคะ

ไม่ได้มาอัพบล็อกตั้งนานเลย มัวแต่ทำงาน กับเล่นเกมใน Facebook อิอิ

เมื่ออาทิตย์ก่อนที่จะเริ่มทำงาน เราทั้งครอบครัวได้ไปไหว้หลวงพ่อโสธรด้วยกันทั้งบ้าน ตอนเที่ยงไปกินก๋วยเตี๋ยวหมูร้านประจำ ที่กินมาเป็นสิบปีแล้วคือ ร้านตาง้วน จะอธิบายทางไป แต่ก็ไม่รู้ เพราะพ่อขับตลอด แหะๆ

อร่อยมากๆ เนื้อหมูสับแสนอร่อย นึกแล้วก็อยากจะไปกินอีก

พออิ่มแล้วเราก็ไปไหว้หลวงพ่อโสธรกัน เพิ่งจะได้มีโอกาสมาตอนที่โบสถ์สร้างเสร็จ สวยงาม เป็นระเบียบมากๆ เราได้เช่าพระพิฆเณศมา 2 องค์

จากนั้นก็กลับบ้าน ไปรับหมามูสที่ร้านอาบน้ำ หมามูสนั่งรอเหงาหงอย ไม่ยอมกินข้าวอีกแล้ว พอเห็นหน้าเราทั้งหมด หางแกว่งแบบพัดลมเบอร์ 3 เลย

Powered by WordPress | Theme: Motion by 85ideas.