Latest Entries »

Mother Warriors

Mother Warriors

เราชอบดูรายการ The Oprah Winfrey Show ทางช่อง Hallmark เพราะดูแล้วได้แง่คิดในหลายๆ อย่าง เพราะ Oprah จะเชิญผู้ร่วมรายการแต่ละคนมาสัมภาษณ์ในแบบที่ เราอาจจะไม่เคยคิดว่า มีคนแบบนี้ และเจอแบบนี้ในโลกนี้ด้วยเหรอ และวิธีการที่เค้าดำเนินชีวิตมันแบบ น่ายกย่องมาก เป็นแบบอย่างกับคนอื่นๆ แถมยังให้กำลังใจคนที่มีัปัญหาเหมือนกัน ว่าอย่างน้อยเหตุการณ์เลวร้าย ย่อมมีทางที่ดีขึ้น เป็นรายการแง่บวก

มะกี้นี้เอง เป็นเรื่องของ Mother Warriors ซึ่งเป็นชื่อหนังสือที่ Jenny McCarthy แต่งขึ้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณแม่ยอดนักสู้ เท่าที่เราดู (เราไม่ได้ดูตอนแรกนิดหน่อย) จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณแม่คนหนึ่ง ชื่อคุณ Monica ซึ่งเกิดอาการ flesh-eating bacteria หลังคลอด ซึ่งพอคลอดเธอจะมีไข้ เธอก็คิดว่าไม่เป็นไรมาก จากนั้นท้องของเธอก็ปวดขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดต้องย้ายไปโรงพยาบาลอีกแห่ง ซึ่งการที่จะเอาชีวิตรอดได้ ต้องเอากระเพาะปัสสาวะ, รังไข่, ถุงน้ำดี และลำไส้ใหญ่ของเธอออก และยังไม่พอ…

สี่อาทิตย์ต่อมาการติดเชื้อของ Monica ทำให้เลือดไม่ถ่ายเทไปที่แขน และขา พยาบาลจะต้องทำความสะอาดแขน และขาเธอ จนในที่สุดเธอเธอก็บอกว่า เธอต้องการรู้ว่าเธอกำลังต่อสู้กับอะไร เธอไม่ต้องการการปกป้องอีกต่อไป ไม่รู้แปลถูกป่าว คำพูดเธอคือ “I needed to know what I was up against. I didn’t want to be shielded anymore” คือเหมือนคล้ายๆ ทุกคน ก็พยายามจะป้องกันเธอไปเรื่อยๆ แต่มันก็ยังไม่ใช่วิธีที่จะชนะสิ่งที่เกิดขึ้น

การที่จะชนะการติดเชื้อนี้ คือการตัดแขน และขาเธอออก Monica บอกว่า ทำมันเถอะ ชั้นต้องการกลับบ้าน “Do it. I’ve got to go home” เธอบอกว่า ตอนนั้นเธอคิดว่า ชั้นมีชีวิตที่ต้องการดำเนินต่อ และมันก็ไม่ใช่การอยู่ที่นี่ (โรงพยาบาล) ชั้นจะได้ก้าวต่อไปไม่ได้ จนกระทั่งคุณตัดมันออก “I have a life to live and it’s not here, and until you amputate, I can’t move forward” เธอผ่าตัดถึง 37 ครั้ง

หมอ และพยาบาล คิดว่าพวกเขาจะพบกับการคร่ำครวญว่า “ทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมต้องเป็นเรา” ในเวลาเกิดเหตุการณ์เลวร้าย แต่ Monica ไม่เลย เธอยอมรับโชคชะตา และสู้ต่อ เธอพูดว่า “ชั้นคิดว่าถ้าพระเจ้าจะทิ้งแขนข้างหนึ่งให้ชั้นไว้ก็ยังดี จะได้หยิบอะไรได้ แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น ชั้นก็คิดว่าโอเคล่ะ ท่านคงมีเหตุผลของท่าน ชั้นดีใจที่มีชีวิตอยู่กับสามีที่น่ารัก และลูกทั้งสอง”

สามีเธอก็ยืนหยัดต่อสู้เพื่อเธอเสมอ ไม่คิดแม้แต่จะทิ้งเธอไปไหน จน Oprah และผู้ชมต้องถามว่า เค้ามีน้องชายบ้างไหม ญาติห่างๆ ก็ได้ Oprah ต้องชมกันเลยว่า เขาเป็น Real Man จริงๆ

ทำให้คิดได้ว่าการที่จะเป็นผู้ชายจริงๆ เนี่ย ไม่ใช่ว่าคุณเป็นผู้ชาย แล้วคุณคือลูกผู้ชาย แต่มันเป็นความอดทนมากกว่านั้น อดทนที่จะดูแล ปกป้องผู้หญิงที่คุณรัก รักษาสัญญา และทำมันให้ได้

คุณ Jenny McCarthy ยังบอกอีกว่า แม่ของทุกคนที่บ้านก็เป็นนักสู้ งานบ้านมันเป็นงานหนัก ทุกคนควรได้เงินจากการทำงานบ้านด้วยซ้ำไป

ลองอ่านเรื่อง Monica และครอบครัวเธอเพิ่มได้ที่นี่ค่ะ http://www.oprah.com/slideshow/oprahshow/20080910_tows_monica/1

ได้รับ Forward Mail มาค่ะ เห็นว่าเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์มาก

14 กุมภาพันธ์ เทศการแห่งความรักนี้ … เพลย์พาร์คเชิญชวนเพื่อนๆ มอบความรัก ความอบอุ่น ให้กับน้องหมา และน้องแมว ที่พิการ ณ มูลนิธิบ้านสงเคราะห์สัตว์พิการ

เพียงเพื่อนๆ ร่วมส่งใจ ส่ง SMS เข้ามาที่ 4666006

เงินจะนำไปมอบให้มูลนิธิบ้านสงเคราะห์สัตว์พิการ ในอุปถัมป์ของหลวงตามหาบัวญาณสัมปันโน ตั้งแต่วันนี้ ถึง 28 กุมภาพันธ์ ศกนี้

พิมพ์ PP001 วรรค 1PP  ส่งมาที่ 4666006

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ (มีแลกไอเทมในเกมด้วย สำหรับคนเล่นเกมออนไลน์)
http://www.playpark.com/microsite/valentine2009/

Thank You Tina & Orr

เสาร์นี้ ต้องไปสยามพารากอนอีก (อีกแล้วค่ะ) เอาสมุด INLOVE Marsha ไปให้คนที่สั่งซื้อ ตอนเช้าไปเรียนภาษาญี่ปุ่น แล้วก็มาพารากอน เจอกับอ้อ และทิน่า ซึ่งทิน่าอยากกินแฮมเบอร์เกอร์ เราก็เลยไปกินกันที่ Dairy Queen (อีกแล้วค่ะ) เรากิน Hamburger

จากนั้นก็เดินกลับมาพารากอน ทิน่าเดินผ่าน Bobbi Brown ซึ่งกำลังจัดงานอะไร Eyebrow ไม่รู้ ทิน่าก็อยากจะกันคิ้ว ก็เลยชวนน้องก้อยเดินไปดู เรากับอ้อก็รออยู่ ทิน่าได้ซื้อของขวัญวันเกิดให้น้องก้อยเป็น Sparkle Eye Shadow ของ Bobbi Brown สองสาวเลยได้ไปกันคิ้วสมใจ

ตอนทิน่ากับอ้อ เดินไปแลกคูปองอะไรซักอย่าง น้องก้อยเลยไปกันคิ้วก่อน และก็แต่งหน้าด้วย แบบ smokey ใช้เวลานานมาก เนื่องจากคิ้วหนาหรือเปล่าไม่รู้ อิอิ  แต่ทิน่า กับอ้อ ก็รอ ร๊อ รอ

พอเสร็จแล้วทิน่าจะกันคิ้วต่อ สต๊าฟเค้าบอกว่าต้องให้รออีกครึ่งชม. เพราะมีลูกค้าต้องดูแล ทิน่าเลยถามว่ารอมาแล้วหนึ่่งชั่วโมง ต้องรออีกครึ่งชั่วโมงเหรอเนี่ย เค้าก็ยืนยันให้รอ เค้าให้เหตุผลว่าใช้เวลาไปกับน้องก้อยเยอะแล้ว เพราะแต่งหน้าด้วย

เราก็เกรงใจทิน่ามากอ่ะ ต้องขอโทษจริงๆ  แต่ทิน่ากับอ้อก็น่ารักมากๆ บอกว่าไม่เป็นไร ยัยเด็กก้อยก็ยังคิดมากไม่หายซักที บอกแต่อยากให้พี่ทิน่าได้กันคิ้ว เป็นเพราะก้อยทีเดียว

แต่น้องก้อยเลิกคิดมาก และยิ้มได้ เมื่อได้รับ sms จากทิน่า ก็ต้องขอบคุณทิน่า และอ้อมากๆ นะ สำหรับวันนี้ ขอบคุณจริงๆ

Inkheart

เมื่อวันก่อนเลิกงาน แล้วก็ไป Siam Paragon ทำงานมาเหนื่อยมาก ก็อยากกินอะไรอร่อยๆ เลยไปกิน Dairy Queen กิน Double Cheese Burger อิ่มอร่อย และก็ไป Central World น้องก้อยอยากดู Under World แต่เราอยากดู Inkheart ก็เลยต้องดูว่ามีรอบอะไรบ้าง ปรากฎว่าดู Inkheart จะดีกว่า จะได้กลับบ้านไม่ดึก ดูรอบ 21.00 น.

สำหรับเรา Inkheart เป็นหนังที่น่าเบื่อมาก ขนาดทำให้เราหลับไปเลย เนื้อเรื่องไม่ดี ไม่สนุก ดูแล้วคิดว่าเมื่อไหร่หนังจะจบ อยากกลับบ้าน แต่เว็บไซต์ของหนังเรื่องนี้เริ่ดมาก

TU-CU Traditional Football 65th

หลังจากเรียนภาษาญี่ปุ่นเสร็จ ก็ไปพารากอนกับน้องก้อย ไปซื้อซองจดหมายกันกระแทกไว้ส่งสมุดโน้ต INLOVE และก็ไปกินข้าวเทีี่ยงกันที่ Dairy Queen ตอนแรกจะไปกิน McDonald แต่คนเต็มร้านเลย มีแต่เด็กจุฬา กับธรรมศาสตร์ ก็เลยเดินไปสยามเซ็นเตอร์ ไปกิน Dairy Queen ไม่เคยกินอาหารที่นี่เลย ปกติจะกินแต่ไอติม เราสั่ง  Hamburger น้องก้อยกิน Chicken Strips Basket ปรากฏว่าอร่อยมากกกกก อร่อยจริงจัง เราเลยกิน Hamburger ตั้ง 2 อัน เหอๆ …

จากนั้นจะเดินไปตัดผม แต่ว่าช่างประจำไม่มา เซ็งเป็ด น้องก้อยก็เลยเดินไปหาเพื่อนๆ ที่ Vanilla จากนั้นก็นั่ง BTS ไปสนามกีฬา ต้องเสียค่าบัตรตั้ง 100 บาท แต่เพื่อนน้องก้อยเอาบัตรมาให้ได้ เลยเข้าฟรี

งานก็เหมือนปีที่แล้วที่มา คือ คนให้ความสนใจหลีดมากกว่าบอล อิอิ (สังเกตได้จากช่างภาพหลายร้อยคน รุมถ่ายแต่หลีด ไม่ถ่ายนักฟุตบอลเลย) จึงควรจะเป็น “งานหลีดประเพณี” ซะมากกว่า แต่มันก็ช่วยไม่ได้เนอะ คนเราย่อมสนใจ สิ่งสวยๆ งามๆ มากกว่ากีฬา แต่ถ้าหากว่านักฟุตบอลเล่นเก่งมากๆ แบบใน Premier League ก็ไม่แน่นะ นักฟุตบอลอาจจะได้ขึ้นโปสเตอร์โฆษณาเหมือนหลีดบ้าง ไม่ดูเป็นส่วนประกอบแบบนี้

ดีใจกับธรรมศาสตร์ด้วยนะจ๊ะ ชนะตั้ง 2-0 แน่ะ

TV Series

เคยบอกกับพี่นุ๊กไว้ว่าอยากได้ Series เรื่อง The L Word ถ้าพี่นุ๊กเจอ ซื้อให้ด้วย เพราะว่าเคยดู และก็ซื้อมาหลาย Season แต่ว่ามีคนขโมยไป เมื่อวันก่อนพี่นุ๊กเลยถามว่ายังอยากได้ไหม พี่นุ๊กให้ list มาหลายเรื่องเลย ก็เลยมานั่งดู

มีแต่ Series น่าดูทั้งนั้นเลย แต่เงินมีจำกัด ก็เลยตัดใจสั่งที่อยากได้ และชอบที่สุดมาก่อน นั่นก็คือ Taken ซึ่ง Spielberg เป็น Executive Producer เราคิดว่ามันเป็น Series ที่ดีที่สุดตั้งแต่เคยดูมาก็ได้ ทำให้ดาราเด็กอย่าง Dakota Fanning ดังระเบิดไปเลย

Series เรื่องนี้ก็นานแล้วอ่ะ คิดว่าปี 2002 นะ จำได้ว่าต้องมาให้ทันดูให้ได้ เวลาดูก็จะแบบสนุกมาก ลุ้นตลอด ส่วนอีก Series ที่สั่งคือ Densha Otoko เป็นของญี่ปุ่น เคยดูแต่ที่เป็นหนังโรง คิดว่าแบบเป็น Series ก็น่าจะสนุก

ไว้เดือนถัดไป ถ้ามีเงินก็จะสั่ง Queer As Folk มาดู และก็ Desperate Housewives แล้วค่อย The L Word โอย… ได้เป็น Couch Potato ก็คราวนี้ล่ะ

Fuji Restaurant

Fuji Restaurant

ไปรับน้องก้อยที่บ้าน แล้วก็ไปเอาการบ้านภาษาญี่ปุ่นของน้องก้อยที่ธรรมศาสตร์ ก็เลยไปกินข้าวกลางวันที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว น้องก้อยให้เลือกว่าจะกิน ฟูจิ, พิซซ่า หรือ Sukishi ดี

เราก็เลยเลือกกินฟูจิ เพราะว่าอยากกินปลา น่าเสียดายที่เดี๋ยวนี้ฟูจิไม่มี ข้าวห่อสาหร่ายไส้กุ้งเทมปุระ แล้ว เหลือแต่ข้าวห่อสาหร่ายไส้กุ้งธรรมดา หรือถ้าเป็นไส้เทมปุระก็มีไข่กุ้งห่อ

น้องก้อยสั่งเนื้อผัดซีอิ๊วกระทะร้อน เราสั่งปลาแซลมอนย่างเกลือ อร่อย เคยมีคนญี่ปุ่นบอกว่า คนญี่ปุ่นจะไม่นิยมกินฟูจิ เพราะว่ามันค่อนข้างจะมีรสชาติไม่เป็นญี่ปุ่นแท้ และส่วนประกอบที่ใช้ทำอาหาร เช่น เนื้อ ผัก ข้าว จะไม่ใช่ของมีคุณภาพแบบที่คนญี่ปุ่นปกติกิน

เรามาดูรายการทำอาหารของญี่ปุ่น ถึงได้เข้าใจ เพราะคนญี่ปุ่นจะพิถีพิถันกับเครื่องปรุง และส่วนประกอบทุกอย่างมากๆ เนื้อก็เนื้ออย่างดี ซอสก็ต้นฉบับจากเมืองต่างๆ ข้าวก็ต้องข้าวญี่ปุ่นแท้ๆ ฯลฯ สารพัดจะละเอียด เพราะฉะนั้นอาหารญี่ปุ่นถึงมีราคาแพง

แต่เราคิดว่าฟูจิ เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่ราคาไม่แพง และก็ให้คนไทยทาน รสชาติ หรืออะไรอาจจะเปลี่ยนนิดหน่อย เราว่าก็โอเคนะ เพราะเรากินก็อร่อยดี ให้ทานร้านแพงๆ ทุกเดือนก็คงไม่ไหว จนกันพอดี

มองไปรอบร้าน ก็เห็นคนกินกันอร่อยดี มีความสุข เท่านี้ก็เพียงพอแล้วเนอะ

Decision

Music Box

เมื่อวานพ่อขนของ แล้วก็ปัดไปโดนกล่องเพลงอันนี้ตก พ่อเลยเอามันมานั่งต่อเข้าไปใหม่ เรามานั่งดู ก็นึกถึงตอนให้กล่องเพลงนี้กับแม่ในวันเกิด ตอนนั้นเรายังอยู่มัธยมอยู่เลย เอาเงินเก็บไปซื้อมันมา จำได้ว่าแพงมาก เพราะเป็นของนำเข้า แต่ก็คุ้มเพราะแม่ชอบ

นี่ก็สิ้้นเดือนแล้ว ถ้าจะสมัครเรียนปริญญาโท ก็น่าจะไปยื่นใบสมัครได้แล้ว แต่เราก็ไม่ได้ไป ส่วนคะแนนสอบ CU-TEP ก็ผ่านเกณฑ์ เพราะเค้าไม่ให้ต่ำกว่า 400 แต่เราได้ 535 ถึงคะแนนจะไม่ดีมาก แต่ก็ผ่านเกณฑ์ (ตอนแรกนึกว่าเค้าไม่ให้ต่ำกว่า 550)

เรามานั่งคิดดู เราก็เลยบอกแม่ว่า เราจะไม่เรียนปริญญาโทแล้ว เราว่าเราไม่พร้อม เพราะถ้าจะเรียนก็ต้องมีเงินเป็นแสน ถึงเราจะสามารถเก็บเงินแบบทำงานไปด้วย เก็บเงินไปด้วย มันก็ทำได้ แต่เราคิดว่า ไม่เอาดีกว่า

เราจะเอาเงินที่สามารถจะไปเรียนปริญญาโท มาเลี้ยงพ่อแม่ดีกว่า ปีนี้แม่ก็อายุ 60 แล้ว ถ้าทำงานก็ถือว่าเกษียณแล้ว แม่ควรจะได้พักผ่อน แล้วก็สบายๆ เราเลยหยุดแล้วการคิดถึงแต่ตัวเอง ว่าเราอยากทำอะไร เป็นอะไร ได้อะไร

นึกถึงตอนเด็กๆ ที่เราอยากได้อะไร พ่อแม่ก็หามาให้ได้เสมอ ตอนนี้มันก็ควรจะเป็นเรา ที่ให้พ่อแม่บ้าง แบบจริงๆ จังๆ

ข้าวผัดหมีน้อย

ข้าวผัดหมีน้อย

วันนี้ไม่ได้ไปทำงาน เพราะว่าไม่สบาย น้องก้อยเลยทำข้าวเช้าให้กิน คือ ข้าวผัดหมีน้อย (ข้าวผัดที่ ผัดโดยหมีน้อย) ประกอบไปด้วย ไข่ดาว แฮม และข้าว

แม่กลับมาจากข้างนอก เห็นหมีน้อยทำกับข้าว เลยถามเราว่าอร่อยไหม เราบอกว่าอร่อย สงสัยจะต้องไปบรรจุลงเมนูอาหาร สำหรับร้านอาหารของพี่นุ๊กซะแล้ว

Powered by WordPress | Theme: Motion by 85ideas.